1.
Action Learning (การเรียนรู้โดยการปฏิบัติ)
หมายถึง การเรียนรู้จากการปฏิบัติ
หมายถึง
การเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติที่แต่ละบุคคลเรียนรู้ร่วมกันในการวิเคราะห์ปัญหาผ่านกระบวนการของการเรียนรู้และการสะท้อนกลับอย่างต่อเนื่อง
โดยการทำงานบนปัญหาจริง และสะท้อนกลับบนประสบการณ์ของตนเอง เสนอแนวทางการแก้ปัญหา
และนำแนวทางการแก้ปัญหาที่ผ่านการพิจารณาแล้วไปปฏิบัติ(ที่มา : ns.mahidol.ac.th)
2.
Analyzing Mistakes (การวิเคราะห์ข้อผิดพลาด)
หมายถึง
การทำให้ผู้เรียนสามารถชี้ว่าข้อผิดพลาดของตนหรือของผู้อื่นเกิดขึ้นเพราะสิ่งใด
(ที่มา : ipst.ac.th)
3.
Brainstorming (การระดมสมอง)
หมายถึง
เป็นกระบวนการที่มีแบบแผนที่ใช้เพื่อรวบรวมความคิดเห็น ปัญหา
หรือข้อเสนอแนะจำนวนมากในเวลาที่รวดเร็ว
เป็นวิธีการที่ดีในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และเกิดการมีส่วนร่วมของกลุ่มมากที่สุด
การระดมสมองมุ่งเน้นที่จำนวนความคิด ไม่ใช่คุณภาพ (ที่มา : www.prachasan.com)
4.
Coaching (การสอนงาน)
หมายถึง การที่คนๆหนึ่ง
ช่วยให้ใครก็ตามพัฒนาขีดความสามารถในการทำงาน
การสอนงานไม่ได้หมายถึงสาระของการสอนหรือบอกถึงวิธีการทำงานเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการช่วยเหลือ
การให้คำแนะนำ การให้กำลังใจ และให้โอกาสในการทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น (ที่มา : diw.go.th)
5.
Computer-Mediated Communications (CMC) (การสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์)
หมายถึง
การสื่อสารที่มีคอมพิวเตอร์เป็นช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร
ซึ่งสามารถตอบรับได้ทันที (ที่มา : cosci.swu.ac.th)
6.
External Consultants (การมีทีี่ปรึกษาภายนอกองค์การ)
หมายถึง บุคคลที่มาจากภายนอกองค์การ
ถูกคัดเลือกขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการคิด
วางระบบงานให้แหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์การแต่ละแห่งที่ไม่เหมือนกัน
เป็นกลุ่มคนที่จะต้องติดต่อกับผู้บริหารระดับสูงขององค์การ
เพื่อนำเสนอและสรุปผลการดำเนินงาน (ที่มา : www.peoplevalue.co.th)
7.
Learning Contracts (สัญญาการเรียนรู้)
หมายถึง
ข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน เพื่อการเรียนรู้ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
(ที่มา : wiki.edu.chula.ac.th)
8.
Mentoring(พี่เลี้ยง)
หมายถึง
กระบวนการเรียนรู้เพื่อช่วยให้บุคคลคนหนึ่งสามารถเพิ่มพูนความรู้
เสริมสร้างความเข้าใจ ในแนวทางการดำรงชีวิต
และหนทางแห่งความสำเร็จในองค์กรใดองค์กรหนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง
โดยอาศัยการปลูกฝัง ถ่ายทอดจากคนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง (mentor) ไปสู่อีกคนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นน้องเลี้ยง
(mentee) (ที่มา : http://www.vrhris.com/klc/Article/HR/Manager/Mentoring.htm)
9.
Networking (การสร้างเครือข่าย)
หมายถึง การที่คนเรารู้จักบุคคล
จากหลากหลายวงการ นอกจากเครือญาติ หรือเพื่อนฝูงความสัมพันธ์ที่ดี
จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นพันธมิตร
ที่ก่อให้เกิดกำไรสูงสุด มีการทำงานร่วมกัน และแชร์ผลประโยชน์ร่วมกัน (ที่มา : www.novabizz.com)
10.
Portfolios (แฟ้มสะสมผลงาน)
หมายถึง
แหล่งรวมข้อมูลที่จัดทำขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยข้อมูลดังกล่าว
จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์สำหรับประเมินผลการทำงาน
เพื่อพัฒนาและปรับปรุงการทำงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่อไป (ที่มา : www.budmgt.com )
11.
Project work (งานโครงการ)
หมายถึง
ภาระงานที่ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อที่ผู้เรียนสนใจ (ที่มา : www.banmi.ac.th)
12.
Rotating jobs (การหมุนเวียนการทำงาน)
หมายถึง
เพื่อให้บุคคลมีโอกาสเรียนรู้ในงานที่หลากหลาย และสลับกันทำงาน (ที่มา : www.kmutnb-journal.net)
13.
Team working (การทำงานเป็นทีม)
หมายถึง
กลุ่มบุคคลที่ร่วมกันทางานให้สาเร็จ
ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในองค์กรหรือสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่องค์การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว (ที่มา : www.sisat.ac.th)
14.
Knowledge strategy
การวางแผนกลยุทธ์ทางด้านองค์ความรู้
(Knowledge Strategy) การวางแผนจัดการด้านองค์ความรู้และการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้นั้น
ไม่ต่างจากการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business Strategy) กล่าวคือ
ผู้บริหารองค์กรและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องทราบให้แน่ชัดว่ากำลังจะนำศาสตร์ด้าน
KM มาใช้เพื่อสร้างประโยชน์ในลักษณะใดต่อองค์กร
โดยจะต้องทราบอย่างแน่ชัดว่าจะใช้งานและบริหารจัดการองค์ความรู้เหล่านั้นในลักษณะใดโดยให้อยู่บนพื้นฐานที่ว่าการลงทุนที่เกิดขึ้นกับระบบ
KM ต้องสร้างประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรของตน ในหลาย ๆ ประเทศ
รวมถึงประเทศไทย
หากจะเริ่มต้นวางแผนออกแบบกลยุทธ์การจัดการองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
ก็อาจจะต้องว่าจ้างบริษัทผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาเพื่อออกแบบระบบที่มีความสอดคล้องกับการกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ
นอกนั้นจะต้องตระหนักว่า แม้จะมีการออกแบบกลยุทธ์ในการจัดการองค์ความรู้ไปแล้ว
กลยุทธ์ดังกล่าวก็ควรจะได้รับการตรวจสอบอยู่เป็นประจำว่ายังมีประสิทธิภาพและเข้ากันได้กับกลยุทธ์ทางธุรกิจซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์การแข่งขันอยู่เสมอ
15.Knowledge sharing
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
(Knowledge Sharing) คือ
การที่กลุ่มคนที่มีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งร่วมกัน มารวมตัวกันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ด้วยความสมัครใจ เพื่อร่วมสร้างความเข้าใจหรือพัฒนาแนวปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ องค์ประกอบหลักที่สำคัญๆ
ของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge Sharing) มีอยู่ด้วยกัน
3 องค์ประกอบ ได้แก่
1.คน (People) – ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด
เพราะเป็นแหล่งศูนย์รวมของความรู้ที่สมควรนำออกมาแบ่งปันเป็นอย่างยิ่ง
โดยก็ควรจะเป็นคนที่มีความรู้จากการปฏิบัติจริง
และอยากจะมาแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้นั้น ด้วยความเต็มใจ
2.สถานที่ และบรรยากาศ (Place)
– เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่จะทำให้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีชีวิตชีวาและน่าสนใจ
เพราะสถานที่และบรรยากาศที่ดี (สบายๆผ่อนคลาย) มีความเหมาะสมกับแต่ละกลุ่มคน
จะทำให้คนเหล่านั้นมาเจอกันพูดคุย ปรึกษา วิเคราะห์ปัญหา แบ่งปัน
และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างสบายใจ
3.สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ (Infrastructure) - เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ช่วยให้การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกิดได้ง่ายและสะดวกขึ้น
เช่น กระดานสำหรับเขียน คอมพิวเตอร์สำหรับการสรุปและจัดเก็บความรู้รวมถึงการแบ่งปัน
(Share)หรือการส่งต่อข้อมูล
ที่มา
http://uknow-it.blogspot.com/2011/01/blog-post_08.html
16. Knowledge workers
คนทำงานที่มีภูมิรู้
"Knowledge Worker"
ในการบริหารทุนมนุษย์ในปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจในความหมายของคำว่า
"คนทำงานที่มีภูมิรู้" ซึ่ง ปีเตอร์ ดรักเกอร์
เป็นบุคคลแรกที่พูดถึงเรื่องนี้
และในวาระที่ครบอายุ
84 ปี ( เกิด 19 พย. 1909 ) ได้ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร Fortune ฉบับ มค. 47 ( Jan 2004 ) ลองหามาอ่านดูได้ครับ
สรุปย่อ
ๆ คือ คนที่สามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตัวเอง
ซึ่งมักจะเป็นองค์กรที่เป็นด้านวิทยาศาสตร์ องค์กรที่มีคนคิดนวัตกรรมเยอะ ๆๆ (
ไม่ใช่คิดสร้างสรรค์นะครับ -คนละเรื่องเดียวกัน)
องค์กรที่พนักงานกำหนดได้ว่าตนเองจะรับผิดชอบและทำงานอะไรที่มีคุณค่ากับองค์กร
แต่ที่องค์กรไทยเข้าใจบางส่วนคือคิดว่า
เป็นเรื่อง Talent
Management คือหาคนเก่ง ๆ มาทำงาน สร้างไห้เป็นดาวเด่น ดาวค้างฟ้า
ผมคงต้องอธิบายในภายหลัง เพราะ เป็นเรื่องการสร้างทายาทธุรกิจ ครับ
ส่วนที่เข้าใจกันนั้นเเป็นผลพลอยได้)
นับตั้งแต่ปี
'47 เป็นต้นมาผมได้ฉีกแนวคิดนำเสนอข้อเขียนและหนังสือทางด้าน
HR (Human Resource ) ในแนวทางใหม่คือการอธิบายถึง
"กลยุทธการบริหารทุนมนุษย์ " หลายท่านอาจจะได้มีโอกาสอ่านบ้างแล้วใน
หนังสือ ธุรกิจของ HR(2) พลวัตการบริหารคน
ซึ่งได้มีการอธิบายไว้แล้ว แต่ในหนังสือเล่มใหม่ที่กำลังพิมพิ์
อยู่ในขณะนี้ได้เปิดมิติใหม่ของ"กลยุทธการบริหารทุนมนุษย์ " ชื่อว่า
"การพัฒนามูลค่าทุนมนุษย์" กลับมาที่กลยุทธการบริหารทุนมนุษย์
จะอธิบายในเรื่อง
-การจัดการคนเก่ง (TMS: Talent Management System)
-การจัดการความรู้ (KM) และทุนทางปัญญา " Intellectual
Capital "
-การพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่
-การสร้างวัฒนธรรมที่เน้นผลงาน
-การบริหาร ERs แบบใหม่
หากธุรกิจต้องการประสบความสำเร็จจาก
"คนทำงานที่มีภูมิรู้ " จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนงาน HR ไปเป็นการบริหารทุนมนุษย์ในเชิงกลยุทธ
( Strategic Human Capital Management )
การบริหารลักษณะนี้จะมีอะไรซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุด
คำตอบคือ
1) ในทัศนะของผมจำเป็นจะต้องกำหนด โมเดลSHCM : Strategic Human
Capital Management Model ขึ้นมาในลักษณะที่เชื่อมโยงกับภารกิจขององค์กร
โดยอยู่บนเงื่อนไขว่าองค์กรนั้น ๆ จะออกแบบให้เป็นองค์กรแบบแบนราบ
หรือองค์กรที่มุ่งการตลาด หรือ การกำหนดองค์กรในลักษณะขององค์กรที่มุ่งกลยุทธ
2) ต้องมีการจัดวาง Platform ด้านHR ใหม่ที่เน้นด้วย " Competency Based Management " หรือ ใช้ Competency Application เป็นหัวใจสำคัญ
3) การบริหาร HR หรือการบริหารคนแนวนี้ จะปรับงาน
บริหารคนเป็นลักษณะของ Strategic Capabilities Unit คือ
การทำงานด้านคน ในเรื่อง (1) การบริการลูกค้าและพนักงาน (2)
ที่ปรึกษาด้านสมรรถภาพ(Capabilities) องค์กร (3)
จินตวิศวกรความรู้ (4) การปรับความพร้อมในการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งทั้งหมดนี้จะอาศัยสิ่งที่เรียกว่าทุนทางปัญญาเป็นสิ่งขับเคลื่อน
ที่มา
: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=dnt&month=23-01-2008&group=34&gblog=17
17.Leverage
of knowledge asset
Leverage
of knowledge assetKnowledge asset คือ ความรู้ที่สร้างขึ้นมาได้จาก SECI ( SECI คือกระบวนการสร้างความรู้
) Knowledge asset แบ่งเป็น
4 แบบ
1.
Experimental - ความรู้แบบ tacit ที่เกิดจากประสบการณ์ในการทำงาน
และสายสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ฯลฯ ได้แก่: ทักษะในการทำงานของแต่ละคน,
ความรักในการทำงาน, passion
2.
Conceptual - ความรู้แบบ explicit ที่แสดงออกผ่านภาพลักษณ์
สัญลักษณ์ และภาษา ได้แก่: คอนเซปต์ผลิตภัณฑ์, ดีไซน์,
แบรนด์
3.
Routine - ความรู้แบบ tacit ที่วนๆ
เป็นรูทีนอยู่ในองค์กร เช่น ทักษะในการทำงานของทีม วิธีหรือขั้นตอนการทำงานในองค์กร
วัฒนธรรมองค์กร
4.
Systemic - ความรู้ explicit ที่จัดทำเป็นแพกเกจ
เช่น เอกสาร คู่มือ สเปก database สิทธิบัตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น